tag:blogger.com,1999:blog-48489883348862950832024-03-13T00:59:34.196+07:00สมุนไพรไทยสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เพื่อคนไทยbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.comBlogger32125tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-46816075424995983292009-08-14T22:51:00.001+07:002009-08-14T22:55:50.687+07:00แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน<span style="font-weight: bold;">แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน</span><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">กะเพรา</span><br />ใช้ใบและยอดทั้งสดและแห้ง ประมาณ 1 กำมือ ( สด 25 กรัม , แห้ง 4 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม<br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ขิง</span><br />ใช้เหง้าแก่สดขนาดหัวแม่มือ ( 5 กรัม ) ทุบให้แตกต้มเอาน้ำดื่ม<br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ยอ </span><br />ใช้ผลดิบหรือผลห่ามสด ฝานเป็นชิ้นบางๆ ย่างให้เหลือง ต้มหรือชงดื่ม ใช้ครั้งละประมาณ 2 กำมือ (10-15 กรัม )babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-64872524682684151382009-08-14T12:04:00.001+07:002009-08-15T13:50:46.163+07:00เจริญอาหาร<span style="font-weight: bold;">เจริญอาหาร</span><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ปอกระเจา</span><br />ใช้ใบเป็นอาหาร หรือใช้ใบต้มกับน้ำ ดื่มเป็นยาเจริญอาหารสำหรับเด็ก<br /><br />-<span style="font-weight: bold;">มะระ</span><br />ใช้เนื้อของผลเป็นอาหาร ผักจิ้ม ต้มหรือแกงกิน<br /><br />- <span style="font-weight: bold;">สมอไทย</span><br />ใช้ลูกสมอไทยสดดองสุราอย่างน้อย 7 วัน กินลูกสมอ ครั้งละ 1-2 ผล<br /><br />- <span style="font-weight: bold;">สะเดา</span><br />ใช้ช่อดอกลวกน้ำร้อน จิ้มน้ำปลาหวานอรือน้ำพริก , ใช้เปลือกสดประมาณ 1 ฝ่ามือ ต้มน้ำ 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้วbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-80818662523930196212009-08-14T10:36:00.000+07:002009-08-14T23:24:17.890+07:00ถ่ายพยาธิลำไส้<span style="font-weight: bold;"><br />ถ่ายพยาธิลำไส้</span><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ฟักทอง</span><br /><br />ใช้เมล็ดแห้งประมาณ 60 กรัมทุบให้แตกผสมน้ำเชื่อมเล็กน้อย แล้วเติมน้ำให้ได้ประมาณ 2 แก้ว แบ่งกิน 3 ครั้ง ห่างกันทุกๆ 2 ชั่วโมง ให้กินดีเกลือ 15-30 กรัม ผสมน้ำอุ่นกินตามด้วย<br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">มะเกลือ </span><br /><br />ใช้ผลสดเสีเขียว ( **ห้ามใช้ผลสุกสีเหลืองหรือผลสีดำ** ) โขลกพอแหลก แล้วผสมกับหัวกะทิสด คั้นเอาน้ำดื่มก่อนอาหารมื้อเช้าครั้งเดียว ถ้า 3 ชั่วโมงยังไม่ถ่าย ให้กินยาระบายดีเกลือตามจำนวนที่ใช้ ผู้ใหญ่ไม่เกิน 25 ผล ( เด็กใช้เท่าอายุ 1 ปี ต่อ 1 ผล แต่ไม่เกิน 25 ผล ) ใช้ถ่ายพยาธิปากขอและพยาธิเส้นด้าย<span style="color: rgb(153, 0, 0);">***ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดหรือผู้ป่วยโรคอื่นๆ กิน ระวังอย่ากินเกินขนาดและกินแล้วถ้ามีอาการอื่น เช่น ท้องเดิน หรือตามัว ให้รีบไปหาหมอทันที***</span>babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-1623147255268684432009-08-11T23:39:00.000+07:002009-08-14T23:08:46.681+07:00แก้แพ้ อักเสบ และแมลงสัตว์กัดต่อย<span style="font-weight: bold;"><br />แก้แพ้ อักเสบ และแมลงสัตว์กัดต่อย</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ขมิ้นชัน </span><br /><br />ใช้เหง้ายาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุก ทาบริเวณที่เป็น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ตำลึง</span><br /><br />ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำแล้วคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- พลู</span><br /><br />ใช้ใบสด 1-2 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าขาวทาบริเวณที่เป็น ใช้ได้ผลดีกับลมพิษ<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- เสลดพังพอน</span><br /><br />ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็น หรือตำผสมเหล้าเล็กน้อยก็ได้babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-52643159430306089302009-08-11T22:42:00.000+07:002009-08-14T23:09:40.464+07:00แก้ไอและขับเสมหะ<span style="font-weight: bold;"><br />แก้ไอและขับเสมหะ</span><br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ขิง<br /><br /></span>ใช้ฝนกับน้ำมะนาว แทรกเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ดีปลี</span><br /><br />ใช้ผลแก่แห้งประมาณครึ่งผล ฝนกับน้ำมะนาวแทรกเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- เพกา</span><br /><br />ใช้เมล็ด ครั้งละ 1/2 - 1 กำมือ ( หนัก 1 กรัมครึ่ง - 3 กรัม ) ใส่น้ำประมาณ 300 มล. ต้มไฟอ่อนพอเดือด นานประมาณ 1 ชั่วโมง กินวันละ 3 ครั้ง<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- มะขาม</span><br /><br />ใช้เนื้อในฝักแก่หรือมะขามเปียกจิ้มเกลือกินพอสมควร<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- มะแว้งเครือ</span><br /><br />ใช้ผลแก่สด 5-10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย กินบ่อยๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อ กินบ่อยๆ จนกว่าอาการจะดีขึ้น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- มะแว้งต้น</span><br /><br />ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ใส่เกลือเล็กน้อย หรือคั้นเอาน้ำผสมน้ำผึ้ง ( 1 ต่อ 3 ส่วน ) จิบบ่อยๆ หรือ ฝานบางๆ จิ้มเกลืออม<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- เสนียด</span><br /><br />ใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดผสมกีบน้ำผึ้ง หรือน้ำที่คั้นได้จากขิงสด เอาอย่างละเท่าๆ กัน จิบกินแก้ไอ ครั้งละ 1-2 ช้อนชา ใช้เวลาไอหรือมีเสมหะมากbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-61474819790017449022009-08-11T22:36:00.001+07:002009-08-14T22:59:05.398+07:00แก้ผื่นคัน<span style="font-weight: bold;"><br />แก้ผื่นคัน</span> ( ใช้ภายนอก )<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ขมิ้นชัน<br /><br /></span>ใช้เหง้าขมิ้นมาทำให้แห้ง บดให้เป็นผงละเอียด ใช้ทาบริเวณที่เป็นผื่นคัน ในเด็กนิยมใช้กันมาก<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ตำลึง</span><br /><br />ใช้ใบสด 1 กำมือ ( ใช้มากน้อยตามบริเวณที่มีอาการ ) ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นน้ำจากใบ เอามาทาบริเวณที่มีอาการ พอน้ำแห้งแล้ว ทาซ้ำบ่อยๆ จนกว่าจะหาย<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- สำมะงา</span><br /><br />ใช้กิ่ง 3-4 กำมือ สับเป็นท่อนๆ ต้มน้ำอาบ<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- เหงือกปลาหมอ</span><br /><br />เอาต้นเหงือปลาหมอทั้งราก สดหรือแห้งก็ได้ สับเป็นท่อนเล็กๆ 1 ขีด ผสมกับน้ำ 3-4 ขัน ต้มให้เดือดใน 10 นาที ทิ้งไว้ให้เย็นลง อาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด แล้วจึงอาบน้ำยาที่ยังอุ่นๆ อยู่ วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3-4 ขัน อาบน้ำยาแล้วไม่ต้องอาบน้ำธรรมดาอีกbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-2799164206849586252009-08-10T22:32:00.001+07:002009-08-11T15:55:41.706+07:00แก้ปวดฟัน<span style="font-weight: bold;"><br />แก้ปวดฟัน</span><br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- กานพลู</span><br /><br />ใช้กานพลูตำพอแหลก ผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอเละ ใช้จิ้มหรือุดฟันที่ปวด โดยใช้สำลีพันปลายไม้จิ้มฟัน ชุบน้ำมันกานพลู ทาปริเวณเหงือก และจิ้มลงไปในรูฟันซี่ที่ปวด จะทำให้อาการปวดค่อยยังชั่วขึ้น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ผักคราดหัวแหวน</span><br /><br />นำก้านสด ( ก้านดอกช่อ )มาเคี้ยวตรงบริเวณฟันที่ปวดเพื่อให้น้ำจากก้านดอกช่อซึมเข้าไปในฟันที่ปวด จะทำให้รู้สึกชา ระงับอาการปวดฟันได้ดี ถ้าฟันซี่ที่ปวดผุเป็นรูใช้วิธีตำหรือขยี้ก้านดอกช่อให้เละ แล้วนำไปอุดฟันซี่ที่ปวด สักครู่จะรู้สึกชาและหายปวดได้babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-71440834707053345002009-08-10T22:20:00.004+07:002009-08-10T22:35:16.800+07:00แก้อาการท้องผูก<span style="font-weight: bold;"><br />แก้อาการท้องผูก</span><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">คูณ<br /><br /></span>ใช้เนื้อในฝักแก่ก้อนเท่าหัวแม่มือ (ประมาณ 4 กรัม ) ต้มใส่เกลืดนิดหน่อย ดื่มน้ำที่ต้มได้หากกินมากไป จะเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องอืด และ ปวดท้อง<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ชุมเห็ดเทศ</span><br /><br />ใช้ดอกชุมเห็ดเทศสด 2-3 ช่อ ต้มกินกับน้ำพริก หรือนำใบสดมาล้างให้สะอาด หั่นตากแดด ใช้ต้มหรือชงน้ำดื่ม ครั้งละ 12 ใบ หรือใบแห้งบดเป็นผง ปั้นกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอนขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย ครั้งละ 3 เม็ด กินก่อนนอนหรือเมื่อมีอาการท้องผูก<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ชุมเห็ดไทย</span><br /><br />ใช้เมล็ดแห้งคั่วจนเหลือ 2-2 ช้อนโต๊ะครึ่ง ( 10-13 กรัม ) ต้ม เอาน้ำดื่มแล้วท้องเสียให้หยุดยาทันที<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- มะขาม</span><br /><br />ใช้เนื้อในฝักแก่อรือมะขามเปียก 10-20 ฝัก (ประมาณ 70-150 กรัม ) จิ้มเกลือกิน หรือใส่เกลือเติมน้ำคั้นดื่มbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-57861811501261777192009-08-10T12:30:00.000+07:002009-08-14T23:07:47.376+07:00แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด<span style="font-weight: bold;"><br />แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และแน่นจุกเสียด</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- กระชาย</span><br /><br />ใช้รากและเหง้าประมาณครึ่งกำมือ ( สด 5-10 กรัม , แห้ง 3-5 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- กระเทียม</span><br /><br />ใช้กลีบปอกเปลือก กินดิบๆ ครั้งละประมาณ 5 กลีบ ( หนัก 2 กรัม)<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- กะเพรา</span><br /><br />ใช้ใบและยอด 1 กำมือ ( น้ำหนักสด 25 กรัม , แห้ง 4 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม เหมาะสำหรับเด็ก<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ขมิ้นชัน</span><br /><br />ใช้เหง้าขมิ้น ล้างให้สะอาด ( ไม่ปลอกเปลือก ) หั่นเป็นชิ้นบางๆ ตากแดดจัด 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเเป็นเม็ดขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยเก็บในขวดสะอาด กินครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้ากินแล้วท้องเสียให้หยุดยาทันที<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ข่า</span><br /><br />ใช้เหง้าแก่สดหรือแห้ง ขนาดเท่าหัวแม่มือ ( สดฟนัก 5 กรัม ,แห้งหนัก 2 กรัม ) ทุบให้แตกต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้วิธีปรุงเป็นอาหาร<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">- ตะไคร้ </span><br /><br />ใช้ลำต้นแก่าดๆ ทุบพอแหลก ประมาณ 1 กำมือ ( ราว 40-60 กรัม ) ต้มเอาน้ำหรือประกอบเป็นอาหารกินbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-79051841754885173072009-08-09T16:50:00.000+07:002009-08-09T16:57:50.512+07:00กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือขัดเบา<span style="font-weight: bold;">กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือขัดเบา</span><br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">กระเจี๊ยบแดง</span><br /><br />ใช้กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอกตากแห้ง บดเป็นผง ครั้งละ 1 ช้อนชา (หรือ 3 กรัม) ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย ( 200 มล, ) จะได้น้ำสีแดงดื่มวันละ 3 ครั้ง<br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ขลู่ </span><br /><br /> ใช้หัวสดหรือหัวแห้ง วันละ 1 กำมือ ( สด 40-50 กรัม ) หั่นเป็นชิ้นๆ ต้มกับน้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ครั้งละ 1 ถ้วยชา ( หรือ 75 มล. )<br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">ชุมเห็ดไทย</span><br /><br />ใช้เมล็ดแห้งคั่ววันละ 1-3 ช้อนโต๊ะ ( 5-10 กรัม) ใส่น้ำ 1 ลิตร แล้วตั้งไฟ ต้มให้เหลือ 600 มล. แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 200 มล. หลังอาหาร<br /><br /><br />-<span style="font-weight: bold;">ตะไคร้</span><br /><br />ใช้ลำต้นแก่หรือเหง้าสดหรือแห้ง ใช้ครั้งละ 1 กำมือ ( สด 40-60 กรัม ,แห้ง 20-30 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ1 ถ้วยชา ( 75 มล. ) ก่อนอาหาร<br /><br /><br />-<span style="font-weight: bold;">สัปปะรด</span><br /><br />ใช้เหง้าสดหรือแห้งวันละ 1 กำมือ ( สด 40-60 กรัม , แห้ง 20-30 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ครั้งละ1 ถ้วยชา ( 75 มล. ) ก่อนอาหาร<br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">หญ้าคา</span><br /><br />ใช้รากสดหรือแห้งวันละ 1 กำมือ ( สด 40-60 กรัม , แห้ง 10-15 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ครั้งละ1 ถ้วยชา ( 75 มล. ) ก่อนอาหาร<br /><br /><br />- <span style="font-weight: bold;">หญ้าหนวดแมว</span><br /><br />ใช้ใบอ่อนหรือใบขนาดกลางตากแดดให้แแห้ง เอาใบแห้ง 4 กรัม หรือ 4 หยิบมือ ชงกับน้ำร้อง 1 ขวดน้ำปลา เหมือนกับชงชา ดื่มวันละ 1 ขวด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร<br /><span style="color: rgb(204, 0, 0);">***ข้อควรระวัง คนที่เป็นโรคหัวใจห้ามดื่ม***<br /><br /></span>babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-1040326625486381312009-08-09T16:01:00.002+07:002009-08-09T16:30:47.749+07:00น้ำขิง<span style="font-weight: bold;font-size:100%;" >น้ำขิง</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ขิงสด 15 กรัม (ขนาด 1″x1.5″ 5 ชิ้น )<br /> <br /> น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว )<br /> <br /> น้ำเปล่า 240 กรัม ( 16 ช้อนคาว )<br /><br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br />นำขิงมาปอกเปลือกล้างให้สะอาด หั่นเป็นแว่นใส่หม้อใส่น้ำ ตั้งไฟต้ม จนเดือดสักครู่ยกลง กรองเอาขิงออก ใส่น้ำเชื่อม ชิมรสตามชอบ หรืออีกวิธีหนึ่ง ใช้เหง้าขิงแก่ฝนกับน้ำมะนาว ใช้กวาดคอ หรือใช้เหง้าขิงสด ตำผสมน้ำเล็กน้อย คั้นเอาน้ำและใส่เกลือนิดหน่อยใช้จิบบ่อยๆ<br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />พรั่งพร้อมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียมบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และขับเสมหะแก้อาการคลื่นใส้ อาเจียน เมารถเมาเรือ ช่วยเจริญอาหาร กินข้าวได้ นอกจากนั้นยังลดการจับตัวของลิ่มเลือดช่วยย่อยอาหารโดยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อยต่างๆต้านการเกิดแผลในกระเพาะ อาหารbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-26794246108661242932009-08-09T15:01:00.000+07:002009-08-09T15:20:47.436+07:00น้ำกระเจี๊ยบ<span style="font-weight: bold;">น้ำกระเจี๊ยบ</span><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ดอกกระเจี๊ยบสด/แห้ง 20 กรัม ( 5 ดอก )<br /> <br /> น้ำเชื่อม 30 กรัม ( 2 ช้อนคาว )<br /> <br /> น้ำเปล่า 200 กรัม ( 14 ช้อนคาว )<br /> <br /> เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม ( 2/5 ช้อนคาว )<br /><br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1.เอาดอกกระเจี๊ยบสดหรือแห้งก็ได้ ล้างน้ำทำความสะอาด นำใส่หม้อต้ม จนเดือด แล้วลดไฟลงอ่อนๆเคี่ยวเรื่อยๆจนน้ำเป็นสีแดงจนเข้มข้น<br /><br /> 2.เอาดอกกระเจี๊ยบขึ้นจากหม้อต้ม แล้วเอาน้ำเชื่อมและเกลือใส่ลงไป ปล่อยให้น้ำกระเจี๊ยบเดือด 1 นาที ยกลงชิมรสตามชอบ<br /><br /> 3.เอาขวดเปล่ามาล้างทำความสะอาด ต้มในน้ำเดือด 20 นาที นำน้ำกระเจี๊ยบแดงมากรอกแล้วปิดจุกให้แน่น แช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน …หรืออีกวิธีหนึ่ง…นำดอกกระเจี๊ยบมาตากแห้ง แล้วนำมาบดเป็นผง นำผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงในน้ำเดือด 1 ถ้วย(250 มิลลิกรัม)<br /><br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />ให้วิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตา รองลงมามี แคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยขับปัสสาวะ<br />ลดความดันโลหิต เป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยแก้อาการกระหายน้ำbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-89389233089745641292009-08-07T17:56:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.625+07:00น้ำมะละกอ<span style="font-weight: bold;"><br />
น้ำมะละกอ </span><br />
<br />
มะละกอเป็น ผลไม้ผลยืนต้นที่ผลสุกมีรสหวานหอมมาก ราคาถูกเป็นที่รู้จักกันดีจากการนำผลผลิตมาทำส้มตำ เป็นพืชเมืองร้อนที่พบเห็นได้ทั่วไป ผลสุกนอกจากการนำมารับประทานสุกแล้วยังสามารถนำมาแปรรูปในงานอุตสาหกรรม เกษตรได้อีกหลายอย่าง ในที่นี่จะแนะนำถึงการนำมะระกอทำเป็นน้ำสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย<br />
<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br />
<br />
มะละกอสุก 1/2 ลูก<br />
<br />
น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย<br />
<br />
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา<br />
<br />
น้ำต้มสุก 3 ถ้วย<br />
<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br />
<br />
1.ปอกเปลือกมะละกอล้างให้หมดยาง ฝานเอาเมล็ดออก หั่นชิ้นเล็ก ๆ<br />
2.ใส่เนื้อมะละกอสุกลงในโถปั่นใส่น้ำต้ม น้ำผึ้ง เกลือ ปั่นให้ละเอียด<br />
3.ตักน้ำแข็งใส่แก้ว เทน้ำมะละกอใส่เสิร์ฟเย็น ๆ หรือจะแช่เย็นก็ได้<br />
<br />
<span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br />
<br />
มะละกอสุกเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอสูงมากรวมทั้งวิตามินซี เพกติน เหล็ก แคลเซียมและมีสาร CAROTENOID ซึ่งเป็นสารที่ทำให้มะละกอเป็นสีส้ม ให้รสหวาน ช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงน้ำนมรวมทั้งช่วยระบายท้องได้ดีอีกด้วย ต้นมะละกอ ขับประจำเดือน ลดไข้ดอก ขับปัสสาวะ ราก แก้กลากเกลื้อน ยาง ช่วยกัดแผล รักษาตาปลา และหูดฆ่าพยาธิbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-19611031768174200722009-08-07T16:44:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.625+07:00น้ำส้มจี๊ด<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำส้มจี๊ด </span><br /><br />ส้มจี๊ด เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ถูกมองข้าม ไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่ส้มจี๊ดเป็นพืชที่มีปะโยชน์ในทุกๆส่วน สามารถนำไปทำยาแก้เจ็บคอ เพราะเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง นอกจากจะทำยาแล้วจะมีใครรู้ไหมว่า ส้มจี๊ดยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีรสชาติอร่อยได้อีกด้วย.<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ส้มจี๊ดแก่จัด 5-10 ผล<br /><br /> น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย<br /><br /> น้ำต้มสุก 1 ถ้วย<br /><br /> น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย<br /><br /> เกลือป่น 1/3 ถ้วย<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. คัดผลส้มจี๊ดที่แก่จัดแต่ยังไม่สุก แล้วล้าง น้ำให้สะอาด ผ่า 2 ฉีกแกะเนื้อทิ้งบีบเอาแต่น้ำ<br /><br /> 2. นำส้มเปลือกส้มจี๊ด 1 ผลปั่นกับน้ำสะอาดให้ละเอียด นำมาผสมกับน้ำส้มจี๊ดที่ตอนแรกเติมเกลือ น้ำผึ้งตามชอบ จะ ได้น้ำส้มจี๊ดสีเหลือ อ่อน หอมกลิ่นผิวส้ม แปลกไปจากน้ำส้ม คั้นชนิดอื่น ๆ รสชาติกลมกล่อม ดื่มแล้วช่วยลดอาการกระหายน้ำ ทำให้ รู้สึกชุ่มชื่น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />เปลือกผลดิบ เป็นยาขับลม น้ำผล แก้ไอขับเสมหะ ผลแก่ ดองเค็มตากแห้ง ใช้เป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ น้ำของส้มจี๊ด มีวิตามินซี และเอ มีกรดอินทรีย์หลายชนิด ส่วนของผล มีน้ำมันหอมระเหย ผลสุก คั้นเอาแต่น้ำทำน้ำพริกส้มเกล่า เปลือกของผลห่าม ๆ นำมาจิ้มน้ำพริกได้ ผลสุก คั้นน้ำทำน้ำผลไม้ได้babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-58072498969420457852009-08-07T16:38:00.001+07:002009-08-08T14:16:36.625+07:00น้ำว่านหางจระเข้<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำว่านหางจระเข้</span><br /><br />ว่านหางจระเข้เป็นพืชที่ได้รับความสนใจสูงมาก เพราะสามารถนำมาพัฒนารูปแบบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปได้ทั้งเป็นยาและเครื่อง สำอางค์ รวมทั้งเป็นสมุนไพรที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสนใจที่จะพัฒนาเป็นยาที่มี มาตรฐานต่อไป สรรพคุณที่รู้จักกัน คือ ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นอกจากมีสรรพคุณทางยาแล้ว เรายังสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้อีกหลายชนิด เช่น วุ้นจากใบทำลอยแก้ว วุ้นแช่อิ่มและน้ำว่านหางจระเข้ เป็นต้น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ว่างหางจระเข้ 1 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำสะอาด 1 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำผึ้ง ½ ถ้วยตวง<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. เลือกว่านหางจระเข้ที่ใบอวบๆ ใหญ่ๆ เพราะจะได้เนื้อวุ้นมาก นำมาปอกเปลือกแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อล้างน้ำยางออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เครื่องปั่นเติมน้ำสะอาดลงไป ปั่นให้ละเอียด<br /><br /> 2. กรองให้สะอาดด้วยผ้าขาวบาง ใส่น้ำผึ้งลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เสิร์ฟโดยเติมน้ำแข็งหรืออาจกรองใส่ขวดแช่เย็นได้ดื่มก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 2 วัน<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />วุ้นที่ใช้ทำน้ำว่านหางจระเข้มีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิด รวมทั้งสารที่ออกฤทธิ์เป็นยาถ่ายด้วย ดื่มเย็นๆ ช่วยให้สดชื่น ช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายเนื่องจากอ่อนเพลีย<br />พักผ่อนน้อย ช่วยระบบขับถ่ายให้ปกติ<br /> <br /> <br /><span style="font-weight: bold;">**ข้อเสนอแนะ</span>**<br />1. สารสำคัญในวุ้นและน้ำเมือกจากว่านหางจระเข้นี้ ไม่คงตัว สรรพคุณของสารจะลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในการใช้ใบสด ต้องตัดออกมาจากต้นใหม่ ๆ<br />2. ถ้าจะใช้วุ้นต้องปอกเปลือก ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะในน้ำยางมีสารที่ทำให้เกิดอาการคัน หรืออาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-61929046789351570052009-08-07T16:35:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.625+07:00น้ำลูกยอ<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำลูกยอ </span><br /><br />คนไทยเชื่อว่า ยอ เป็น พืชมงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบริเวณบ้าน โดยมีความเชื่อว่า ปลูกแล้วคนจะสรรเสริญเยินยอหรือยกยอปอปั้นในสิ่งที่ดีงามเหมือนกับชื่อ ยอ นอกจากยอจะเป็นไม้มงคลแล้ว เรายังสามารถนำยอมาแปรรูปเป็นอาหารได้หลายชนิด โดยนำใบมาแกง ต้มใส่ห่อหมก รวมทั้งลูกยอยังนำมาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ให้คุณค่าต่อสุขภาพได้อีกด้วย<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ลูกยอสุกผลใหญ่ 1-2 ผล<br /><br /> น้ำสะอาด 1 ½ ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำผึ้งบริสุทธิ์ ½ ถ้วยตวง<span style="display: block;" id="formatbar_Buttons"><span class=" on down" style="display: block;" id="formatbar_Bold" title="Bold" onmouseover="ButtonHoverOn(this);" onmouseout="ButtonHoverOff(this);" onmouseup="" onmousedown="CheckFormatting(event);FormatbarButton('richeditorframe', this, 3);ButtonMouseDown(this);"><img src="img/blank.gif" alt="Bold" class="gl_bold" border="0" /></span></span><br /><br /> น้ำตาลทราย ¼ ถ้วยตวง<br /><br /> เกลือป่น ½ ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. เลือกลูกยอชนิดสุก(เกือบงอม) นำมาล้างน้ำให้สะอาดใส่หม้อเติมน้ำสะอาดลงไปต้มจนเปื่อยหรือจนสามารถยีเอาเมล็ดอกได้<br /><br /> 2. ยีเอาเมล็ดออกแล้วกรองให้สะอาดด้วยผ้าขาวบางเอากากออก<br /><br /> 3. นำน้ำที่ได้ไปตั้งไฟ เติมน้ำตาล น้ำผึ้งและเกลือป่นลงไปคนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น เตรียมเสิร์ฟพร้อมดื่ม หรือกรอกใส่ขวดแช่เย็น<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />น้ำลูกยอเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่ได้จากลูกยอและน้ำผึ้ง ซึ่งมีสรรพคุณช่วยขับลม บำรุงธาตุ ขับโลหิต ขับระดูของตรี แก้คลื่นไส้อาเจียน ช่วยขับผายลมในลำไส้ รวมทั้งคุณค่าของน้ำผึ้งที่มีต่อสุขภาพด้วยbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-9303641010877787032009-08-07T16:34:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำมะเขือเทศ<span style="font-weight: bold;">น้ำมะเขือเทศ </span><br /><br />มะเขือเทศ เป็นพืชผักที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก มีถิ่นกำเนิดอยู่ประเทศแม็กซิโก จากนั้นแพร่หลายไปในยุโรป อเมริกาและทวีปเอเชียตามลำดับ เป็นพืชที่ให้คุณค่าต่อสุขภาพสูง บริโภคได้ทั้งเป็นผักสดและปรุงเป็นอาหาร รวมทั้งเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเกษตรที่สำคัญ เช่น ทำซอสมะเขือเทศบรรจุกระป๋องเป็นส่วนผสมของประกระป๋องและที่สำคัญ คือ ทำน้ำมะเขือเทศ<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> มะเขือเทศสีดา 10 ผล<br /><br /> น้ำสะอาด 1 ถ้วย<br /><br /> น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วยตวง<br /><br /> เกลือป่น 1/4 ช้อนชา<br /><br /> น้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะ<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. นำมะเขือเทศมาล้างให้สะอาด ผ่าครึ่งแกะเมล็ดออกให้หมด ใส่ลงเครื่องปั่น เติมน้ำสะอาด น้ำผึ้ง น้ำมะนาวและเกลือป่นลงไป ปั่นให้ละเอียด<br /><br /> 2. น้ำมะเขือเทศที่ได้จะมีรสหวานอมเปรี้ยวออกเค็มเล็กน้อยเวลาเสิร์ฟใส่ในน้ำแข็ง พร้อมดื่ม<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />เนื้อ มะเขือเทศที่ใช้ทำน้ำมะเขือเทศนี้มีสรรพคุณช่วยให้ระบบย่อยอาหารของร่างกาย ทำงานดีขึ้น ช่วยระบาย ช่วยฟอกเลือดและช่วยให้รู้สึกสดชื่นมีเบต้า-แคโรทีน สูงมาก ช่วยต่อต้านมะเร็งและมีวิตามินซีสูงมากเช่นกันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ทำให้เกิดความสดชื่นแก้กระหายน้ำ ผิวพรรณผ่องใส ช่วยในการย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยฟอกเลือดและป้องกันโรคมะเร็งbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-53770191272390153872009-08-07T16:31:00.001+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำลูกเดือย<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำลูกเดือย</span><br /><br /><br />ต้นเดือย เป็น ไม้ล้มลุก ลำต้นและใบคล้ายข้าวโพด แต่ใบสั้นกว่า ผลกลมหรือยาวรีสีขาวเหลืองหรือน้ำเงิน พันธุ์เปลือกแข็งใช้ทำเครื่องประดับ เรียกว่าเดือยหิน พันธุ์เปลือกอ่อนใช้ทำอาหารหรือเหล้า และยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่ามากได้อีกด้วย<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> ลูกเดือย 1 ถ้วย<br /><br /> น้ำสะอาด 1 1/2 ถ้วย<br /><br /> น้ำตาลทรายแดง 1/3 ถ้วย<br /><br /> เกลือป่น<br /><br /><span style="display: block;" id="formatbar_Buttons"><span class=" on down" style="display: block;" id="formatbar_Bold" title="Bold" onmouseover="ButtonHoverOn(this);" onmouseout="ButtonHoverOff(this);" onmouseup="" onmousedown="CheckFormatting(event);FormatbarButton('richeditorframe', this, 3);ButtonMouseDown(this);"><img src="http://www.blogger.com/img/blank.gif" alt="Bold" class="gl_bold" border="0" /></span></span><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. นำลูกเดือยไปต้มจนสุกเปื่อย<br /> 2. นำลูกเดือยที่สุกแล้วไปใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ใส่น้ำตาลทรายแดง ใส่เกลือ แต่งเติมรสชาติชิมตามชอบ<br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />เมล็ด ต้มหรือนึ่งรับประทานแทนข้าว ทำขนมเปียกลูกเดือย ใส่เต้าทึง น้ำเต้าหู้ ทำแป้ง ทำน้ำลูกเดือย เนื้อในผล มีแป้งร้อยละ 52 มีไขมัน วิตามินบี ธาตุฟอสฟอรัส และแคลเซียม มีกรดอะมิโนหลายชนิด และสารอื่น ๆ ฟอสฟอรัสสูงมากช่วยบำรุงกระดูก รองลงมามีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงธาตุ เมล็ด ชงเป็นอาหารที่มีสำหรับผู้ป่วย กำลังฟื้นไข้ เป็นยาเย็น ช่วยขับปัสสาวะ เข้ายาสำหรับบำบัดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ใช้ขนาด 10-25 กรัม ทำยา ชงใช้ขับพยาธิในเด็ก ช่วยเจริญอาหารบำรุงไต กระเพาะอาหาร ม้ามรวมทั้งบำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดรักษาอาการคลื่นใส้อาเจียน ท้องร่วงbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-37671492014686005982009-08-07T16:28:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำลูกบัว<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำลูกบัว </span><br /> <br /><br />บัว เป็นพืชที่เรารู้จักกันจากการนำดอกบัวมาบูชาพระเก็บฝักมารับประทานเมล็ด ชนิดที่กินสายบัวและรากบัวเป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดเราก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ชนิดที่จะนำมาทำเป็นน้ำสมุนไพรนี้เป็นบัวชนิดที่ใช้ดอกบูชาพระ โดยที่ปล่อยให้ดอกบาน กลีบร่วงเมล็ดโตเต็มที่เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีสรรพคุณต่อสุขภาพมาก<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> เมล็ดบัว 1 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วยตวง<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. เลือกเมล็ดบัวที่มีลักษณะกลมค่อนข้างแก่ นำมาแกะเปลือกออกและนำไปล้างน้ำให้สะอาด<br /><br /> 2. นำน้ำสะอาดไปตั้งไฟให้เดือดนำเมล็ดบัวที่แกะเปลือกแล้ว<br /><br /> 3.ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นเสิร์ฟโดยเติมลงในน้ำแข็งบดจะได้น้ำเมล็ดบัวสีเหลืองอ่อน<br />ให้คุณค่าต่อสุขภาพสูง<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />เมล็ด บัวมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายชนิดคือ มีสารอาหารจำพวกแป้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ แคลเซียม เหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี ซึ่งมีสรรพคุณเป็นยาเย็นช่วยบำรุงร่างกายรักษาอาการร้อนใน แก้กระหายน้ำ บำรุงประสาท บำรุงไต รักษาอาการท้องร่วง บิด รวมทั้งในเมล็ดบัวจะมีไส้สีเขียวหรือเรียกว่าดีบัวมีรสขม ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยในการขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อของหัวใจbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-75622408710578408432009-08-07T16:23:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำแครอท<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำแครอท</span><br /><br /><br />ข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ให้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงมาก สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เช่น แป้ง น้ำตาล น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เคมีอื่นๆ สำหรับการบริโภคเราสามารถนำข้าวโพดมาประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้งอาหารหวาน และอาหารคาว เช่น ลวงจิ้มน้ำพริก ผัดแกงเลียง ต้ม ย่างรับประทานรวมทั้งทำน้ำข้าวโพดดื่มได้<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> เมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำผึ้ง 12 ถ้วยตวง<br /><br /> นมสดจืด 2 ช้อนโต๊ะ<br /> <br /> เกลือป่น ¼ ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. เลือกข้าวโพดที่ใหม่ๆ สดๆ มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปต้มให้สุก แกะหรือเฉือนเอาแต่เนื้อให้ได้ตามส่วน นำมาใส่เครื่องปั่นเติมน้ำสะอาด ปั่นให้ละเอียด<br /> 2. กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด เติมน้ำผึ้ง เกลือป่นและนมสดลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำข้าวโพดสีเหลืองใสรสชาติหวานมันไว้ดื่ม<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />ใน เมล็ดข้าวโพดมีแคลเซียม แมกนีเซียม โปรตีน แป้ง วิตามินเอ และมีฟอสฟอรัส ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อนำมาทำเครื่องดื่มสมุนไพรจะช่วยบำรุงหัวใจและช่วยให้เจริญอาหารbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-363670729027063352009-08-07T16:21:00.001+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำบีทรูท<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำบีทรูท</span><br /><br />บีทรูท หัวผักกาดที่อยู่ใต้ดินชนิดหนึ่ง มีทรงกลมป้อมเปลือกดำ เนื้อสีแดงเลือดหมู หรือม่วงแดง เมื่อปอกสีจะติดมือเป็นผักเมืองหนาว ต้นกำเนิดอยู่ในแถบเมดิเตอร์เรเนียน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Betavalgaris ปัจจุบัน นี้บีทรูทสามารถปลูกได้ในแถบภาคเหนือของไทยบีทรูทนิยมใส่ในสลัดต่างๆโดย เฉพาะสลัดผักสุกหรือนำไปดองสามรสไว้รับประทานคู่กับอาหารจานหลัก เช่นสเต็ก พาสต้า นอกจากนั้นยังนิยมนำไปคั้นเป็นเครื่องดื่มสุขภาพสีม่วง<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> บีทรูทสด 2 หัว<br /> น้ำสะอาด 1 ถ้วย<br /> น้ำตาลทรายแดง 1/2ถ้วย<br /> เกลือป่น 1/3 ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br />1. นำบีทรูทมาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำให้ สะอาด<br />2. หั่นเป็นฝอยเล็ก ๆใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ<br />3. กรองเอากากออก ใส่หม้อเคลือบ ตั้งไฟ<br />4. แล้วเติมน้ำตาลทรายแดงเกลือเล็กน้อย ชิมรสตามชอบ ถ้าต้องการรสธรรมชาติ<br />ให้ผสมน้ำกระทกรก ฝรั่งลงไปด้วยทำให้ มีกลิ่นหอมน่ารับประทานขึ้น<br /> <br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าทางสมุนไพร</span><br /><br />สา รสแดงในหัวบีทรูท คือ เบทานิน(betanin) เป็นกรดอะมิโนที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและมะเร็ง น้ำบีทรูทจึงมีชื่อเสียงในฐานะรักษามะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เลือดลมดี และการไหลเวียนของโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดีขึ้นbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-60259181770854252592009-08-07T15:58:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.626+07:00น้ำขึ้นฉ่าย<span style="font-weight: bold;"><br />น้ำขึ้นฉ่าย</span><br /> <br /><br />ข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ให้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงมาก สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เช่น แป้ง น้ำตาล น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เคมีอื่นๆ สำหรับการบริโภคเราสามารถนำข้าวโพดมาประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้งอาหารหวาน และอาหารคาว เช่น ลวงจิ้มน้ำพริก ผัดแกงเลียง ต้ม ย่างรับประทานรวมทั้งทำน้ำข้าวโพดดื่มได้<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> เมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง<br /><br /> น้ำผึ้ง 12 ถ้วยตวง<br /><br /> นมสดจืด 2 ช้อนโต๊ะ<br /><br /> เกลือป่น ¼ ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /><br /> 1. เลือกข้าวโพดที่ใหม่ๆ สดๆ มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปต้มให้สุก แกะหรือเฉือนเอาแต่เนื้อให้ได้ตามส่วน นำมาใส่เครื่องปั่นเติมน้ำสะอาด ปั่นให้ละเอียด<br /> 2. กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด เติมน้ำผึ้ง เกลือป่นและนมสดลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำข้าวโพดสีเหลืองใสรสชาติหวานมันไว้ดื่ม<br /><br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /><br />ใน เมล็ดข้าวโพดมีแคลเซียม แมกนีเซียม โปรตีน แป้ง วิตามินเอ และมีฟอสฟอรัส ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อนำมาทำเครื่องดื่มสมุนไพรจะช่วยบำรุงหัวใจและช่วยให้เจริญอาหารbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-29644336323272377502009-08-06T23:58:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.627+07:00น้ำฟักทอง<span style="font-weight: bold;">น้ำฟักทอง </span><br /> <br />ฟักทอง เป็นพืชที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งยอดและผล ปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวานหลากหลายชนิด เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของอเมริกา ต่อมามีการนำมาปลูกในประเทศเขตร้อนทั่วไป รวมทั้งประเทศไทย เป็นพืชที่ให้คุณค่าต่อร่างกายสูง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายชนิดรวมทั้งเครื่องดื่มสมุนไพร<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br />ฟักทองแก่ 1 ถ้วยตวง<br />น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง<br />น้ำผึ้ง 1 ถ้วยตวง<br />เกลือป่น 1/4 ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /> 1.เลือกฟักทองที่เนื้อหนาดี นำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปนึ่งให้สุก เอาแต่เนื้อเหลืองๆใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำสะอาดลงไปแล้วปั่นให้ละเอียด<br /><br /> 2. นำน้ำที่ได้ไปต้มให้เดือด เติมน้ำผึ้งลงไปตามด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามชอบใจ<br /><br /> 3. เมื่อได้รสชาติตามต้องการแล้ว ยกลง กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด จะได้น้ำฟักทองสีเหลืองน่ารับประทาน รสหวานมัน<br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br />ใน เนื้อฟักทอง มีสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายหลายชนิด คือ ฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง โปรตีน สารสีเหลืองโดยเฉพาะวิตามินเอที่มีสูงมาก คือ ในเนื้อฟักทอง100 กรัมมีวิตามินเอสูงถึง245 IU<br /><br />ฟักทอง มีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมาย ซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์ ให้ความสนใจสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ที่มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งชว่ยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป เมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง สามารถป้องกันการเกิดนิ่ว และใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืด นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลายbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-54252145717298552892009-08-06T23:33:00.000+07:002009-08-08T14:16:36.627+07:00น้ำนมข้าวโพด<span style="color: rgb(0, 0, 0); font-weight: bold;"><br />น้ำนมข้าวโพด </span><br /><br />ข้าวโพดเป็นพืชไร่ที่ให้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงมาก สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้มากมาย เช่น แป้ง น้ำตาล น้ำมัน และผลิตภัณฑ์เคมีอื่นๆ สำหรับการบริโภคเราสามารถนำข้าวโพดมาประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้งอาหารหวาน และอาหารคาว เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก ผัดแกงเลียง ต้ม ย่างรับประทานรวมทั้งทำน้ำข้าวโพดดื่มได้<br /><br /><span style="font-weight: bold;">ส่วนผสม</span><br /><br /> เมล็ดข้าวโพด 1 ถ้วยตวง<br /> น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง<br /> น้ำผึ้ง 12 ถ้วยตวง<br /> นมสดจืด 2 ช้อนโต๊ะ<br /> เกลือป่น ¼ ช้อนชา<br /> <br /><br /><span style="font-weight: bold;">วิธีทำ</span><br /> 1. เลือกข้าวโพดที่ใหม่ๆ สดๆ มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปต้มให้สุก แกะหรือเฉือนเอาแต่เนื้อให้ได้ตามส่วน นำมาใส่เครื่องปั่นเติมน้ำสะอาด ปั่นให้ละเอียด<br /> 2. กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด เติมน้ำผึ้ง เกลือป่นและนมสดลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ จะได้น้ำข้าวโพดสีเหลืองใสรสชาติหวานมันไว้ดื่ม<br /><br /><span style="font-weight: bold;">คุณค่าต่อสุขภาพ</span><br /> ใน เมล็ดข้าวโพดมีแคลเซียม แมกนีเซียม โปรตีน แป้ง วิตามินเอ และมีฟอสฟอรัส ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อนำมาทำเครื่องดื่มสมุนไพรจะช่วยบำรุงหัวใจและช่วยให้เจริญอาหารbabybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4848988334886295083.post-3204134700736244442009-08-04T16:31:00.005+07:002009-08-08T14:17:48.591+07:00ครีมพอกหน้าทุเรียน<span style="font-weight: bold;font-size:100%;" >ครีมพอกหน้าทุเรียน</span><span style="font-size:100%;"><br /><br /> ทุเรียนมีประโยชน์ช่วยลดสิวเสี้ยนได้อย่างดีเนื่องจากในทุเรียนอุดมไปด้วยธาตุกำมะถันที่ช่วยให้เม็ดสิวแห้งเร็ว และความนุ่มละเอียดของเนื้อทุเรียนยังเหมือนครีมมอยเจอไรเซอร์บำรุงผิวให้ ชุ่มชื่นไปพร้อมๆ กับการกระตุ้นให้รูขุมขนผลักสิ่งสกปรกที่มีอยู่ให้ออกมาด้วย และเมื่อผสานกับผู้ช่วยมืออาชีพอย่างดินสอพองซึ่งมีคุณสมบัติลดความมันส่วน เกินและสมานรอยแผลเป็น<br /><br /></span><span style="font-weight: bold;font-size:100%;" >ส่วนผสม ;-)</span><span style="font-size:100%;"><br /><br />- เนื้อทุเรียนห่าม 3-5 ช้อนโต๊ะ<br />- ดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ<br /><br /></span><span style="font-weight: bold;font-size:100%;" >วิธีทำ</span><span style="font-size:100%;"><br /><br />1. หั่นเนื้อทุเรียนเป็นชิ้นเล็กๆ ปั่นรวมกับดินสอพองให้เป็นเนื้อครีม<br />2. พอกส่วนผสมให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที<br />3. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วตามด้วยน้ำเย็นเพื่อกระชับรูขุมขน<br /><br /> พอกสูตรนี้ประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะสังเกตเห็นว่าสิวเสี้ยนที่เป็นปัญหาสำหรับคนผิวมันจะค่อยๆ ลดลง และผิวหน้าจะเนียนนุ่มกลมกลืนจนน่าสัมผัส แต่สำหรับคนผิวแห้งหรือผิวผสมที่นานๆ ครั้งจะมีปัญหาสิวอุดตันก็สามารถใช้สูตรนี้ได้ แต่ควรทำเฉพาะช่วงที่เป็นสิว และไม่ควรพอกบ่อยจนเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวหน้าขาดความสมดุลได้<br /><br /></span><span style="font-size:100%;"><br /></span>babybearhttp://www.blogger.com/profile/06800863723192146150noreply@blogger.com1